-ทำไมคนที่ศึกษาเต๋าถึงชอบฝึกชี่กง
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Qigong
ในขณะที่ศาสนาและความเชื่อทั้งหลายในโลกที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ จะเน้นให้คนฝึกกันที่จิต หรือทำสมาธิ หรือสงบจิตใต ก็สามารถบรรลุเข้าถึงสรรพสิ่งในจักรวาลได้ โดยไม่ได้พูดถึงเทคนิคพวกท่าฝึก พลังชี่ หรือพลังปราณเท่าไหร่นัก
แต่วิชาเต๋า วิชาชี่กง () ต่างๆของจีน และโยคะ เน้นการฝึกนี้มากกว่าอย่างชัดเจน
ทำไมล่ะ?
นั่นต้องเริ่มจากคำถามที่ว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร?
เคยถามตัวเองมั๊ยครับ ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร?
ตรงนี้สำคัญนะครับ ถ้าคุณไม่สงสัยเลย หรือคิดว่าเสียเวลาที่จะสงสัย งั้น ไม่ต้องอ่านต่อครับ! เชิญกลับสู่วิถีของคุณ ที่ไม่จำเป็นต้องฝึกชี่กงเลย
แต่ถ้าคุณสงสัย ว่าคนเราเกิดมาทำไม ลองมาดูกัน...
แน่นอน บางคนอาจจะมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล นั่นมันเรื่องของตัวบุคคล...ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ผมถาม ประเด็นก็คือ เผ่าพันธ์มนุษย์ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร จุดกำเนิดของมนุษย์ก่อนที่จะมีอารยธรรม ก่อนที่จะมีใครนิยามหน้าที่ทางสังคม ก่อนที่จะมีมนุษย์เริ่มกระทำสิ่งต่างๆให้เกิดกรรม มันเกิดอะไรขึ้นในจักรวาลนี้ ถึงได้มีมนุษย์ขึ้นมามนุษย์เราเกิดขึ้นเพื่ออะไร?
อ่า..งงล่ะสิ
หลายๆศาสนาบอกว่า เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ก็คือ..ตอบไม่ได้ เขาถึงไม่ฝึกชี่กงไง
หลายๆศาสนาตอบว่า มนุษย์เกิดขึ้นเพราะมีผู้สร้างขึ้นมา ...อันนั้นเป็นการตอบว่าเกิดเพราะอะไร..แต่ยังไม่ได้ตอบว่าเกิดมาเพื่ออะไร? ตกลงตอบอย่างสมเหตุสมผลได้ใหม?..ไม่ได้..ก็เลยไม่ฝึกชี่กง
หรือจะตอบว่า คนมันมีมาแต่แรกแล้ว ไม่มีจุดกำเนิด เป็นอนันต์...เชื่อแบบนั้นจริงอะ? แต่มันไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลยนะ โอเค ถ้าคุณเชื่อ คุณก็ไม่ต้องฝึกชี่กง
แต่แนวคิดเต๋า เชื่อว่าคนเกิดมาตามบทบาทของจักรวาล เรามีบทบาทในธรรมชาติ ในฐานะส่วนหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง เรื่องนี้เราจะพูดให้สวยหรูว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน ก็ได้ เราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ก็ได้ คงเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ใช่ใหมล่ะ
แต่พูดง่ายๆ มันก็คือวัฎจักรทางธรรมชาตินั่นแหละ
ทีนี้ ถ้าคนเราเกิดขึ้นมามีลักษณะเหมือนเราๆนี้เนื่องจากวัฏจักรธรรมชาติ เพราะธรรมชาติต้องการให้เราทำอะไรบางอย่าง เราถึงมีลักษณะแบบนี้ เราจึงควรตระหนักในวัฎจักรของธรรมชาติ นั่นเป็นบทบาทของเรา เราถึงสามารถทำตัวให้สมกับคุณค่าที่เราเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ถ้าเราเกิดมาเอาแต่กินๆๆ ดูดพลังงานไปจากโลก ปล่อยมลพิษ แล้วก็ตาย แบบนี้เป็นคนที่ไม่มีคุณค่าตามธรรมชาติ ไม่ได้เข้าถึงคุณค่าที่แท้จริง..ถ้าคนเกิดมาทำไ้ ไม่ต้องมีคนเกิดมามิดีกว่าหรือ? (และเรื่องของเรื่อง..ถ้าคนเราไม่มีคุณค่าต่อธรรมชาติ ไม่ทำตามบทบาท ธรรมชาติจะกำจัดคนเราไปทีละน้อย..เช่น ทำให้อายุสั้นลง ทำให้ป่วย ทำให้เกิดภัยพิบัติฯลฯ นี่คือกลไกประการหนึ่งของจักรวาล คืออะไรที่ไม่มีหน้าที่ หรือมีแต่ไม่ทำ มันจะถูกกำจัดออกไปจากจักรวาลครับ)
เรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ และจริงๆแล้วธรรมชาติสร้างเราให้มีความสุขกับการทำหน้าที่นั้น และมีความทุกข์กับการไม่ทำตามหน้าที่นั้นอยู่แล้ว
-เต๋ามีศีลข้อห้ามมั๊ย
อาจจะฟังดูแปลก แต่ สรุปแล้วก็คือ ไม่มี
รวมถึง ผู้ฝึกเต๋าจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้!
จริงๆแล้ว เต๋าไม่ค่อยเหมือนศาสนาเท่าไหร่นัก..ผมว่า มันไม่ใช่ศาสนาด้วยซ้ำ
ศาสนาทั่วไป มักจะต้องมีการบูชา ไม่ก็ต้องนับถือ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคารพ
คือต้องลอยอยู่เหนือผู้คน ต้องมีความสูงส่ง
เหตุผลก็เพราะ มันจะได้ไม่เพี้ยน ไม่ถูกบิดเบือน
ถ้ามีใครโต้แย้ง พยายามแก้ไข หรือบิดเบือน ก็จะกลายการลบหลู่ เป็นความบังอาจ จนอาจกลายเป็นคนนอกศาสนาซะ
แต่รุ่นพี่ที่สืบทอดเต๋ามา พยายามทำให้เต๋าเป็นเหมือนวิทยาศาสตร์ คือมีการปรับปรุง และแก้ไขอยู่คลอดเวลา แน่นอนมันทำให้บิดเบือนง่าย และดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจดูไม่น่าเชื่อถือไปเลย แต่เต๋าไม่อ้างว่าเป็นหลักการที่สมบูรณ์แบบ และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ วิชาเต๋าก็แบบนี้ ชาวเต๋าก็เป็นแบบนี้ คือไม่ถือว่าตัวเองดีที่สุด แต่พยายามปรับปรุงตัวตลอดครับ ตัวอย่างเรื่องของอาจารย์กับศิษย์นี่ ส่วนใหญ่อาจารย์จะฉลาดกว่าศิษย์ เพราะประสบการณ์มากกว่า แต่บางทีศิษย์ก็มีไอเดียใหม่ๆดีๆได้เหมือนกัน อาจารย์เต๋าที่ดีก็ยินดีรับฟังครับ ถ้าศิษย์คิดดีกว่า อาจารย์ก็ทำตามได้ ไม่กลัวเสียฟอร์ม..จริงๆคุณจะสังเกตว่าชาวเต๋าไม่ค่อยวางฟอร์มเท่าไหร่
ถึงตรงนี้บางคนจะเริ่มสับสน ว่าอ้าว แล้วแบบนี้เราควรเชื่ออาจารย์ใหมเนี่ย? ที่สอนๆกันมานี่ มันก็อาจจะไม่ถูกดิ?
เรื่องนี้มันมีหลักการอยู่ข้อหนึ่งที่เป็นธรรมเนียมของเต๋าครับ
สิ่งใดที่ทดลองพิสูจน์แล้วได้ผล ก็คือจริง ให้เชื่อ
สิ่งไดที่ทดลองแล้วไม่ได้ผล ก็อย่าไเชื่อเลยครับ
ต่อให้เป็นสิ่งที่นักพรตบนยอดเขาเหาะไปสอนไป หรือต่อให้คำสอนฟังดูน่าเชื่อถือหรือมีเหตุผลแค่ไหน ถ้าพิสูจน์(อย่างถูกวิธี)แล้ว ไม่ถูก ก็คือขยะครับ!
ถ้าใครสอนวิชาเต๋าที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วบอกให้เราศรัทธา โดยอ้างว่าต้องศรัทธาก่อนแล้วจะสำเร็จ
ก็นึกซะว่าฟังนิยายก็แล้วกันครับ!
ถ้าใครสอนหลักการที่เอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลาครับ รกสมอง!
พูดถึงข้อห้าม เต๋าก็เลยเหมือนไม่มีข้อห้าม เพราะห้ามแล้วก็แก้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าสมควร..ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีก ก็เลยไม่มีบทบัญญัติข้อห้ามที่เป็นรูปธรรมให้เราเห็น
รวมถึงความเชื่อทางศาสนา ถ้าคุณนับถือศาสนาอื่นด้วยแล้วฝึกวิชาเต๋าได้ผล(ผมว่าได้ผลนะ) ก็ทำไปเลยครับ ไม่มีปิศาจเต๋าออกจากใต้ดินมาลงโทษคุณหรอกน่า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชาวเต๋าทุกคนรู้ดีว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูก เราก็ต้องรับผลอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีใครบอกเราว่าผิดก็เถอะ
(ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Taoism)
- แล้วต้องเลิกกินของปรุงแต่งหรือเปล่า
สิ่งปรุงแต่งต่างๆที่ไม่ใช่ของธรรมชาติ เราจะกิน จะใช้ ก็ได้ครับ ขอแค่ว่าอย่าติดงอมแงม เรื่องของเรื่องคือ บางที เรากิน เราใช้ อยู่ประจำ จนขาดไม่ได้ ถ้าแบบนั้นระบบของร่างกายเราจะเพี้ยนครับ
ถ้าสงสัยว่าเราติดรึเปล่า ก็ลองงดบริโภคดูครับ เช่น ถ้าสงสัยว่าติดทีวีมั๊ย ก็ลองไม่ดูทีวีสักวันสองวัน ดูว่าโอเคมั๊ย หรือลองไม่กินน้ำอัดลมสักสามวัน ถ้ารู้สึกเหมือนจะขาดใจ ต้องเปิดดูให้ได้ ต้องกินให้ได้ แบบนั้นมีปัญหาละ แต่ถ้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก ก็แสดงว่ายังปกติครับ
(ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Junk_food)
-ชี่คืออะไร มีจริงหรือไม่
ผมไม่รู้ว่าชี่มีจริงหรือเปล่า แต่ชี่กงฝึกได้ผลครับ
ส่วนใหญ่จะบอกว่า ชี่เป็นพลังงานแบบหนึ่งที่เครื่องมือทางฟิสิกส์ไม่สามารถวัดได้ ในร่างกายเรามีพลังชี่ที่ให้ชีวิตชีวากับระบบต่างๆ นอกจากนั้นยังมีชี่ของสถานที่ ภูเขา ถนนหนทาง ชี่ของดวงดาว ของโลก ของจักรวาล ฯลฯ ซึ่งมีผลสัมพันธ์ต่อกันอีก
เอาล่ะ ในความเห็นของผม ผมไม่แน่ใจเลยว่าชี่มีจริงหรือเปล่า เพราะอย่างที่บอกไปว่า ยังไม่มีเครื่องมืออะไรที่ตรวจวัดพลังงานชี่ออกมาได้
มีบางคนอ้างถึงกล้องเคอร์เลี่ยน (Kirlian Photography) ที่สามารถถ่ายรูปพลังออร่าที่อยู่รอบๆตัวเราได้ ซึ่งผมลองศึกษาแล้วพบว่า กล้องเคอร์เลี่ยนไม่ได้ถ่ายเอาภาพของชี่รอบๆตัวเราโดยตรง แต่ถ่ายภาพเราไว้ (ภาพธรรมดานี่แหละครับ) จากนั้นค่อยตรวจวัดสภาพต่างๆของมือเรา แล้วเอาสภาพของมือไปประมวลผลเพื่อสร้างภาพของออร่าขึ้นรอบๆภาพที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ ออร่าจะออกมาแบบไหนก็คิดจากสภาพของมือเรานี่เองครับ ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นการวัดออร่า(หรือชี่)ที่ถูกต้องจริงๆ ..น่าเสียดายที่หลายคนไม่รู้เรื่องนี้
ที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่มนุษย์ใช้ตรวจวัดพชี่ ก็คือ ความรู้สึกครับ หรืออาจจะเห็น หรือ แม้แต่ได้ยินก็เถอะ สำหรับผมแล้ว มันก็เอาแน่อะไรไม่ได้หรอกครับความรู้สึกเนี่ย อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้
แล้วทีนี้ ชี่กงได้ผลจริงเหรอ?
แปลกดีครับ ผมไม่รู้ว่าชี่มีจริงมั๊ย แต่ถ้าเราฝึกชี่กง มันทำให้ร่างกายและจิตดีขึ้นจริงๆครับ แน่นอนไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มีการวัดผลทางการแพทย์แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงการแพทย์จะตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรก็เถอะ (เหมือนโลกกลมแหละครับ ยังไม่มีใครตอบได้ว่าทำไมมันกลม แต่ โลกกลมชัวร์)
-ทำไมวิชาเต๋ามีวิชาทางเพศด้วย
เรื่องของเรื่องคือ ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ร่างกายมนุษย์(และสัตว์)ถูกสร้างมาให้เรื่องการสืบพันธ์เป็นเรื่องใหญ่ คือถ้าสังเกตดู เวลาที่อวัยวะต่างๆได้รับอันตรายก็จะเจ็บ แต่ถ้าเป็นอวัยวะที่เกี่ยวกับการสืบพันธ์(เช่น อัณฑะผู้ชาย หรือหน้าอกผู้หญิง) ความเจ็บปวดจะเจ็บสุดๆ อย่างถ้ามีลูกฟุตบอลพุ่งเข้ามาหาไข่เรา เราก็เอามือบังไข่ไว้ เหมือนจะยอมให้มือเจ็บ ดีกว่าเจ็บไข่ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะธรรมชาติต้องการให้เราระวังรักษาระบบสืบพันธุ์เป็นพิเศษ และมนุษย์ในวัยเจริญพันธ์รู้จักความต้องการทางเพศได้เองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีตำราสอน ไม่เหมือนฟิสิกส์เคมีชีวะ ต้องกระตุ้น ต้องมีวิธีสอน ถึงจะเรียนรู้เรื่อง แต่เรื่องทางเพศนี่ ขนาดห้ามเรียนยังรู้เรื่องเลย!
เนื่องจากธรรมชาติของร่างกายมนุษย์นั้นจะให้ความสำคัญกับระบบสืบพันธ์ก่อน ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ มันก็เป็นอย่างนี้ โอเค วัยรุ่นบางคนไม่แสดงออกทางเพศเลย แต่ในร่างกายก็ยังมีแรงขับทางเพศอยู่ดีแหละครับ ทำได้อย่างมากก็คือไม่แสดงออก ก็เท่านั้น
ถ้าอยากแก้คงต้องแก้กันที่ฮอร์โมนในร่างกาย เช่น เป็นขัณฑี (สนใจมั๊ยครับ?)
แม้แต่การใช้พลังงาน ประเด็นก็คือ เวลาร่างกายได้รับพลังงานมา(เช่น กินอาหารเข้ามา) ร่างกายจะจัดงบประมาณพลังงานไปบำรุงระบบสืบพันธ์ก่อนเป็นอันดับแรกๆ หลังจากระบบสืบพันธ์โอเคแล้วนั่นแหละ ระบบอื่นๆถึงจะเริ่มรับงบประมาณกะเขาบ้าง
เต๋าเองรู้ธรรมชาติข้อนี้ และแทนที่จะพยายามบำรุงระบบอื่นๆก่อน วิชาเต๋าจึงทำตามนโยบายของธรรมชาติ คือบำรุงระบบสืบพันธ์จนแข็งแรงเพื่อบำรุงระบบอื่นต่อ! ซึ่งวิธีนี้มีประสิทธิภาพกว่าเยอะครับ นี่เป็นวิธีที่ผู้ฝึกเต๋าฝึกให้ร่างกายและจิตใจกระชุ่มกระชวย(หมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะครับ ไม่ใช่เรื่องทางเพศ) ได้จนอายุ70-80ปี หรือตลอดชีวิต
ส่วนจะประกอบกิจกรรมทางเพศมากแค่ไหน อันนี้ก็คงแล้วแต่รสนิยมครับ แต่ จะบอกไว้ก่อนว่า เต๋าแนะนำให้หลีกเลี่ยงการหมกมุ่นทางเพศ และหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังทางเพศแบบพร่ำเพรื่อ จริงๆแล้วมีเทคนิคของเต๋าบางอย่างที่จะช่วยสงวนพลังงานทางเพศไว้ไม่ให้เสียไป แต่ เนื่องจากมันเป็นเทคนิคทางเพศโดยตรง วิชาเหล่านี้มักไม่สอนกันง่ายๆ พอเข้าใจใช่มั๊ยครับ ไม่มีใครอยากกลายเป็นอาจารย์ลัทธิฉาวหรอกครับ
-ฝึกเต๋าต้องรักษาพรหมจรรย์หรือเปล่า
แล้วแต่ครับ
อะไรที่ไม่ใช่ของเรา จะทำยังไงมันก็ไม่ใช่เรา..แต่อะไรที่เป็นของเรานี่สิ ยังไงมันก็เป็นของเราอยู่ดี