The Circle of Spirits

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: แอตแลนติส


ผู้ฝึกหัด

Status: Offline
Posts: 26
Date:
แอตแลนติส


โลกวิทยาศาสตร์ : ไขปริศนา ทวีปแอตแลนติส

นักวิจัยสหรัฐประกาศความสำเร็จเบื้องต้น ในการค้นพบทวีปแอตแลนติส ที่จมหายไปเมื่อ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล แม้จะไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่จากหลักฐานที่ได้ ทำให้เชื่อว่าดินแดนปริศนาแห่งนี้ทอดตัวยาวจากชายฝั่งระหว่างประเทศไซปรัส และซีเรียไกลถึง 1.5 กิโลเมตร

โรเบิร์ต ซาร์มาสต์ สถาปนิกจากลอสแองเจลิส วัย 38 ปี ใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่ง ในการค้นหาสถานที่ตั้งของเมืองที่สาบสูญตามคำบอกเล่าของ "เพลโต" นักปราชญ์ของกรีกโบราณ และศึกษาหาข้อมูลประวัติศาสตร์เพิ่มเติมจากคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่ และหลักฐานที่มีจารึกไว้

เขาตัดสินใจใช้การส่งคลื่นเสียงสะท้อนในน้ำมาเป็นผู้ช่วยสำคัญ โดยเลือกปฏิบัติการบริเวณเมดิเตอร์เรนียนตะวันออก (ระหว่างประเทศไซปรัสและซีเรีย) และจากข้อมูลที่ได้รับทำให้เขาเชื่อว่ามีโครงสร้างบางส่วนที่น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย
์จมอยู่ในบริเวณดังกล่าว

"จากการตีความข้อมูลที่ได้ แสดงให้เห็นเค้าโครงของกำแพงที่มนุษย์สร้างขึ้นทอดตัวยาวถึง 3 กิโลเมตร และยังมีส่วนที่เป็นคู ซึ่งมีระดับความลึก 1,500 เมตร แต่หลักฐานที่ได้ขณะนี้ยังไม่เพียงพอ ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอีก" ซาร์มาสต์ กล่าว

แม้จะไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม อาทิ ก้อนอิฐ หรือชิ้นส่วนของกำแพงใดๆ แต่เขาเชื่อว่าจากหลักฐานแวดล้อมที่ได้นี้ ก็น่าจะทำให้นักสำรวจหลายคนเห็นว่าทวีปแอตแลนติสมีอยู่จริง

จากคำบอกเล่าของ "เพลโต" นักปรัชญาเมธีชาวกรีก ระบุว่าเขาได้รับรู้เรื่องราวของแอตแลนติสมาจากโซลอน รัฐบุรุษชาวกรีก ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของเขาเอง โดยโซลอนได้รับเรื่องราวนี้มาจากนักบวชชาวอียิปต์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็ได้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสมัยนั้น

แม้แต่นักปราชญ์อย่างอริสโตเติล ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโตเองก็ยังกล่าวไว้ในงานเขียนของเขาว่า เรื่องเล่าแอตแลนติสเป็นเพียงบทกวีที่เพลโตแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ข้อมูลที่เพลโตเขียนขึ้นปรากฏในงานเขียนที่มีชื่อว่า ทีไมอุส และ ครีติอัส ซึ่งมีข้อความพอจะสรุปได้ว่า

"แอตแลนติสเป็นชาติที่กุมอำนาจทางทะเลเอาไว้ มีที่ตั้งอยู่ ณ ที่ซึ่งเลยเสาหินของเฮอร์คิวลิส หรือช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบันออกไป อาณาจักรนี้ครอบคลุมน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจรดอียิปต์และตุรกี เป็นดินแดนอันอุดมด้วยทรัพยากรและอาหารนานาชนิด ทิวเขาสูงกำบังลมจากทางเหนือ สรรพสัตว์ทั้งช้างและม้าเล็มหญ้าอยู่ในท้องทุ่ง ดื่มกินน้ำจากทะเลสาบและลำธาร มีที่ราบแห้งแล้งในใจกลางเกาะ แนวเขาสูงเป็นปราการธรรมชาติกั้นลมอยู่ทางเหนือ..."

สภาพอากาศอยู่ในแบบกึ่งเขตร้อน พืชผลอุดมสมบูรณ์พลเมืองสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละสองครั้ง ประเทศของแอตแลนติสมั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีความรุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้แอตแลนติสยังมีอู่ต่อเรือ คลองสำหรับคมนาคม

พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกด้วยเรือเดินสมุทร มีกษัตริย์สิบองค์ครองดินแดนสิบแคว้น พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข ชาวแอตแลนติสเป็นทั้งพลเมืองตัวอย่างและนักขี่ม้าที่เก่งกาจ นอกจากนั้นพวกเขายังเชี่ยวชาญด้านการเดินเรืออีกด้วย

แต่ชาวแอตแลนติสกลับไม่พอใจกับโชคลาภที่มี พยายามแผ่ขยายอาณาเขตเพื่อครอบครองโลก เกิดสงครามรุนแรงตามมาหลายครั้ง ชาติเล็กชาติน้อยย่อยยับกับการกรีธาทัพของแอตแลนติสเป็นทิวแถว มีเพียงนครเอเธนส์ของเทพีอาเธน่าเท่านั้นที่ยืนหยัดต่อต้านแอตแลนติสเอาไว้ได้

ต่อมาเทพโพไซดอนพิโรธชาวแอตแลนติสมาก และประมาณ 9,500 ปีก่อนคริสตกาล ก็เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นบนตัวทวีป ทำให้แอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลื่น ไม่เหลือร่องรอยใดๆ เอาไว้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นตำนานที่นักสำรวจทั่วโลกต้องการพิสูจน์ แม้จะมีบางคนมองว่าทวีปแห่งนี้เป็นเรื่องโกหกที่เพลโตแต่งขึ้น แต่ซาร์มาสต์ ไม่คิดเช่นนั้น และยืนยันจะสำรวจต่อไปจนกว่าจะได้หลักฐานชิ้นเด็ดที่พิสูจน์ได้ว่าเขาเดินมาถูกทางแล
้ว

---------------------------------------------------------------------------------------

ตำนานแห่ง แอตแลนตีส อารยะนครที่สาบสูญ

การค้นหา มหานครแอตแลนตีส มีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ซ้ำยังเป็นปริศนาแห่งโลกมหัศจรรย์ให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำต
อบกันมากต่อมาก ทั้งในรูปแบบบทความหรือการค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา

ทั้งนี้ ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ก็เคยเขียนถึง ที่มาที่ไปของ แอตแลนตีส ไว้อย่างสมบูรณ์ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงนำมาเผยแพร่ประกอบ ในคราวที่เรื่องราวของ แอตแลนตีส กลับมาเป็นที่กล่าวถึงกันอีกครั้ง

อาณาจักรแห่งอารยธรรมจากบทบันทึกของเพลโต

ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ ไทมาอุส (Timaeus) และ ครีตีอัส (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงครีตีอัสผู้เป็นทวดของเพลโต ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า ผู้เฒ่าครีตีอัส (Critias the Elder) ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ ดรอพิเดส (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ.10 (533 ปีก่อนคริตศักราช)

ดรอพิเดสได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ แอตแลนตีส (Atlantis) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเ
ลย

ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพโพเซดอน (Poseidon) แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอนและทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอp>เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร แอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ แอตแลนตีส ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกล
างเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง แอตแลนตีส ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว แอตแลนตีส ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด

50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่

อริสโตเติล (Aristotle) ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ แอตแลนตีสก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น แอตแลนตีส เลย

ถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด

เพลโต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันพิลาร์หรือเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม
ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ
้น

ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา (Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) และทวีปอเมริกาคือแอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ แอตแลนตีส ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ

แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนตีสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอ
ร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

ในปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete) ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ ไทม์ส (The Times) ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีส แล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย

และอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน

ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเ
ล เมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาวไมนวนยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรไมนวนมีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต

การศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ เทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกวบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำเกาะเทราให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราจนมืดสนิท

และอีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะครีตมีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที

เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายกา
รสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท-เทรา (Crete-Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก เพราะนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอสบนเกาะคร
ีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี

หรือนครที่สาบสูญก็แค่คำเปรียบเปรยของจอมปราชญ์

ในหนังสือชื่อ มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด (Mysteries of the Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J. Flanders) เป็นบรรณาธิการ และพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 โดยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ แอตแลนตีส ว่า

เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว" นี้มาบอกต่อ ๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้ มักจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปเสมอ

และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%

แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเมืองที่หายไปของเพลโตจะมีจริงหรือไม่ แต่จินตนาการที่ไม่รู้จยของมนุษย์ก็ได้สร้างสรรค์ออกมาผ่านหนังสือและภาพยนตร์ โดยภาพนี้จากการ์ตูนเรื่อง "แอตแลนตีส"


ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่าอริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื
่อ เดอะ รีพับบลิก (The Republic) ของ เพลโต เอง

นักวิชาการเหล่านี้ ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของสงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta) ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราบของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะแอตาแลนเ
ต (Atalante) จนราบเรียบเช่นกัน

ถึงแม้เพลโตจะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่มิได้คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นนิยาย คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสอีกครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองเห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส

บทสนทนาถึง แอตแลนตีส ของเพลโต
http://xchange.teenee.com



__________________


ผู้ช่วยจอมเวทย์

Status: Offline
Posts: 67
Date:

ก็โอเคนะคะ แต่ มันมีหลายปาก เลยหลากหลายเนื้อเรื่อง


เรื่องนี้ก็อ่านไว้เป็นความรู้ก็แล้วกัน

ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^

__________________

อะไรที่ไม่ใช่ของเรา จะทำยังไงมันก็ไม่ใช่เรา..

แต่อะไรที่เป็นของเรานี่สิ ยังไงมันก็เป็นของเราอยู่ดี

Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard